Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

การเจริญสิ่งมีชีวิต 2

Go down

การเจริญสิ่งมีชีวิต 2 Empty การเจริญสิ่งมีชีวิต 2

ตั้งหัวข้อ  CM4869 Wed Feb 09, 2011 10:45 pm

...............3. พาร์ธีโนเจเนซิส (Parthenogenesis)
...............เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของแมลงบางชนิดเช่น ตั๊กแตนกิ่งไม้ เพลี้ยไรน้ำซึ่งตัวเมียสามารถผลิตไข่ที่ฟักเป็นตัวได้โดยไม่ต้องมีการปฏิสนธิในสภาวะปกติไข่ของสัตว์ดังกล่าวจะฟักออกมาเป็นตัวเมียเสมอแต่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมกับการดำรงชีวิต เช่น เกิดความแห้งแล้งหนาวเย็นหรือขาดแคลนอาหาร ตัวเมียก็จะผลิตไข่ที่ฟักออกเป็นทั้งตัวผู้และตัวเมียจากนั้นสัตว์ตัวผู้และตัวเมียเหล่านี้จะผสมพันธุ์กันแล้วตัวเมียจะออกไข่ที่มีความคงทนต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวได้ในผึ้ง มด ต่อ แตน ก็พบว่ามีการสืบพันธุ์แบบพาร์ธีโนเจเนซิสด้วยเช่นกันโดยไข่ไม่ต้องมีการปฏิสนธิก็สามารถฟักออกมาเป็นตัวได้ ซึ่งจะฟักออกมาเป็นตัวผู้เสมอ
19. ...............4 .การงอกใหม่ (Regeneration)
...............พบในสัตว์ชั้นต่ำ ได้แก่ ปลาดาวพลานาเรีย ไส้เดือนดิน ปลิง ซีแอนนีโมนีการงอกใหม่เป็นการสร้างส่วนของร่างกายที่ขาดหายไปโดยสัตว์เหล่านี้ถ้าร่างกายถูกตัดออกเป็นส่วน ๆแต่ละส่วนจะสามารถงอกเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ได้ดังนั้นการงอกใหม่นี้จึงทำให้มีจำนวนสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้นจากจำนวนเดิม
20. ...............5. การสร้างสปอร์ (Spore Formation)
...............เป็นการสืบพันธุ์ที่เกิดจากการแบ่งนิวเคลียสหลายๆ ครั้ง ต่อจากนั้นไซโทพลาซึมจะแบ่งตาม แล้วจะมีการสร้างเยื่อกั้นเป็นส่วน ๆแต่ละส่วนจะมีนิวเคลียส 1 อัน เรียกว่า สปอร์ (Spore) สัตว์ที่มีการสืบพันธุ์แบบนี้ได้แก่ พลาสโมเดียม ซึ่งเป็นสัตว์ที่ทำให้เกิดโรคไข้มาลาเรีย
21. ...............6. การขาดออกเป็นท่อน (Fragmentation)
...............เป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศอีกแบบหนึ่งของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพวกที่มีเซลล์ต่อกันเป็นเส้นสายโดยการหักเป็นท่อนๆแต่ละท่อนที่หลุดไปก็จะแบ่งตัวแบบ Mitotic cell division ได้เซลล์ใหม่ที่ต่อกันเป็นเส้นสายเจริญต่อไป เช่น พวกหนอนตัวแบนสาหร่ายทะเล
22. ...............2. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (sexual reproduction)
...............เป็นการสืบพันธุ์ที่ผลิตสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นมาด้วยการรวมตัวของหน่วยพันธุกรรมซึ่งอาจเกิดจากสิ่งมีชีวิตตัวเดียวกัน หรือคนละตัวก็ได้หรือเกิดจากการรวมตัวของนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์ (sex cell or gamete) ซึ่งจากการแบ่งตัวของ germ line cell แบบ meiotic cell division การรวมตัวของเซลล์สืบ พันธุ์เรียกว่า ปฏิสนธิ (fertilization) ได้นิวเคลียสใหม่ที่เป็นdiploid ซึ่งเรียกว่า Zygote และ zygote ที่ได้จะเป็นเซลล์เริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตรุ่นต่อไป
ขั้นตอนการสืบพันธุ์

..........................................................................

...............ไข่ (Egg)
...............โดยทั่วไปมีลักษณะกลมหรือรีเคลื่อนที่ไม่ได้ ไข่ของสัตว์มักมีอาหารสะสมอยู่เพื่อเลี้ยงตัวอ่อนที่อยู่ภายในไข่เช่น ไข่แดงของไข่ไก่และไข่เป็ด ไข่แดงซึ่งมีเยื่อหุ้มอยู่เทียบได้กับเซลล์ 1 เซลล์ส่วนจุดกลม ๆ ในไข่แดง คือ นิวเคลียสเซลล์ไข่ส่วนมากมักจะมีสิ่งห่อหุ้มเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนจากสิ่งแวดล้อมเช่นไข่กบมีวุ้นหุ้ม ไข่เต่าทะเลมีสิ่งที่มีลักษณะเป็นเยื่อเหนียวหุ้มไข่เป็ดและไข่ไก่มีเปลือกแข็งหุ้ม เป็นต้น
23. ...............ตัวอสุจิ (Sperm)
...............มีขนาดเล็กกว่าไข่มากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจึงจะมองเห็นตัวอสุจิมีส่วนประกอบอยู่ 3 ส่วน คือ หัว (head) ลำตัว (body) และหาง (tail) ส่วนหัวจะมีนิวเคลียสเป็นส่วนประกอบ เคลื่อนที่โดยใช้หาง
24. ........................................................................................................

...............ตัวอย่างเซลล์อสุจิมีขนาดเล็กกว่าไข่มากและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและจะเคลื่อนที่ได้เร็ว
เพราะมีส่วนหางช่วยในการเคลื่อนที่เพื่อสะดวกในการเข้าผสมกับไข่
...............ตัวอสุจิจะมีขนาดเล็กกว่าไข่มากและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและจะเคลื่อนที่ได้เร็ว
เพราะมีส่วนหางช่วยในการเคลื่อนที่เพื่อสะดวกในการเข้าผสมกับไข่
25. ...............เมื่อสัตว์โตเต็มที่และพร้อมที่จะสืบพันธุ์แล้วเพศเมียจะสร้างไข่ และเพศผู้จะสร้างอสุจิไข่และตัวอสุจิของสัตว์แต่ละชนิดจะมีขนาดและจำนวนต่างๆกันไปโดยทั่วไปไข่จะมีลักษณะกลมหรือรี เคลื่อนที่ไม่ได้และมักมีอาหารสะสมอยู่เพื่อไว้เลี้ยงตัวอ่อนที่อยู่ภายใน เช่น ไข่แดงของไข่ไก่ไข่เป็ด นอกจากนี้ยังมีสิ่งห่อหุ้มเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนจากสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีลักษณะเป็นวุ้น เช่น ไข่กบ หรือมีลักษณะเป็นเยื่อเหนียว เช่น ไข่เต่าทะเลบางชนิดมีเปลือกแข็งหุ้ม เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ ไข่จระเข้
26. .............................................................................
27. ...............เมื่อตัวอสุจิผสมกับไข่จะเกิดการปฏิสนธิ (Fertilization) ขึ้น
28. ...............การปฏิสนธิ (Fertilization)แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1.การปฏิสนธิภายใน (Internal Fertilization)
2.การปฏิสนธิภายนอก (External Fertilization)
29. ...............1.การปฏิสนธิภายใน (Internal Fertilization)
...............ตัวอสุจิจากสัตว์เพศผู้เข้าผสมกับไข่ซึ่งยังอยู่ในตัวของสัตว์เพศเมีย
ได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน แมลง ปลาที่ออกลูกเป็นตัว เช่นปลาเข็ม ปลาหางนกยูง ปลาฉลาม
30. ..................... .....................................

...............2.การปฏิสนธิภายนอก (External Fertilization)
...............การผสมระหว่างไข่และตัวอสุจิภายนอกตัวของสัตว์เพศเมียได้แก่ สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก ปลาต่าง ๆและสัตว์น้ำที่ออกลูกเป็นไข่ทุกชนิด

...................................................................................

...............การสืบพันธุ์ของปะการัง
...............การสืบพันธุ์ของปะการังสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศ (sexual reproduction)
และ แบบไม่อาศัยเพศ (asexual reproduction) การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนพันธุกรรม (gene flow) ส่งผลให้สังคมปะการังมีความหลากหลายทางพันธุกรรมเพิ่มขึ้น แนวปะการังบางแห่งเมื่อตรวจเช็คหาพันธุ์กรรม พบว่าทั้งแนวปะการังมีพันธุกรรมเดียวกันซึ่งเป็นผลมาจากการสืบพันธุ์ แบบไม่อาศัยเพศ โดยอาศัยการแตกหักของร่างกายบางส่วนอย่างไรก็ตามการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้สังคมและโครงสร้างทางสังคมสามารถดำรงอยู่ได้ โดยสร้างและผลิตตัวอ่อนที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรม แพร่กระจายออกไปแทนที่ประชากรเดิมที่มี
31. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของปะการังแข็งเป็น 4 รูปแบบ
32. ...............1. Hermaphrodite broadcaster
มีลักษณะของทั้งสองเพศภายในโพลิปเดียวกันไข่และน้ำเชื้อจะถูกรวมอยู่ในก้อนเล็ก ๆ เรียกว่า "bundle" เมื่อเข้าสู่ระยะที่สมบูรณ์จะถูกปล่อยออกสู่ภายนอก bundle แต่ละก้อนจะแตกออกซึ่งไข่และน้ำเชื้อจะผสมกันในมวลน้ำ
...............2.Hermaphrodite brooder
มีลักษณะที่มีสองเพศภายในโพลิปเดียวกันไข่และนำเชื้อมีการผสมกันภายในโพลิป ตัวอ่อนจะได้รับการพัฒนาอยู่ภายใน (internal fertilization) ระยะหนึ่งก่อนที่จะถูกปล่อยออกสู่ภายนอก
...............3.Gonochoric broadcaster
มีลักษณะที่ในแต่ละโคโลนีหรือในแต่ละโพลิปมีเพศที่ต่างกัน มีการปล่อยไข่และน้ำเชื้อออกมาผสมกันภายนอกลำตัว
...............4.Gonochoric brooder
ลักษณะที่ในแต่ละโคโลนีหรือในแต่ละโพลิปมีเพศต่างกันเพศผู้จะปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปผสมภายในโพลิปของกับทางจันทรคติ (lunar cycle) ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ในหลายพื้นที่เกิดขึ้นหลังจาก 15 ค่ำ ประมาณ 5 - 8 วันสำหรับลักษณะความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ในเขตกึ่งเขตร้อน (sub-tropical) ปะการังมีแนวโน้มที่จะผลิตเซลล์สืบพันธุ์มากในช่วงฤดูร้อน สำหรับในเขตร้อนศูนย์สูตร (tropical) ปะการังมีแนวโน้มที่จะผลิตเซลล์สืบพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี
33. ...............การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของปะการังแข็ง (Asexual reproduction)
...............การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของปะการังมีหลายรูปแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดในแนวปะการังการสืบพันธุ์แบบนี้จะเป็นการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วการสืบพันธุ์ในรูปแบบนี้ จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมดังนั้นความสามารถในการปรับตัวเพื่อทนทานต่อสภาพแวดล้อม ที่รุนแรงจึงมีน้อยลักษณะที่เป็น homogenous genotype ทำให้ประชากรแต่ละตัวจะมี fitness ต่ำ ดังนั้นความสามารถในการอยู่รอดการปรับตัวจึงต่ำ นอกจากนั้นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศทำให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลงอย่างไรก็ตามในแนวปะการังส่วนมากจะพบการสืบพันธุ์ ในรูปแบบนี้เป็นหลักโดยแบ่งออกเป็น
...............1.Flagmentation
...............โดยการแตกหักออกจากโคโลนีใหญ่ปะการังจะสร้างเนื้อเยื่อใหม่อย่างรวดเร็ว ขึ้นมาแทนที่ ในบางพื้นที่ที่มีตะกอนมากโอกาสในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ก็จะลดลงไปด้วย การแตกหักที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นกับปะการังที่มีรูปร่างแบบกิ่งก้านมากกว่าแบบก้อน
...............2.Budding
...............เป็นการแบ่งตัวออกภายในโคโลนีแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
Intratentacular budding เป็นการแยกตัวโพลิปใหม่ออกจากโพลิปเดิม โดยเกิดเป็น 2 หรือ 3 โพลิปใหม่แต่ไม่มีผนังของตนเองอย่างสมบูรณ์
Extratentacular budding เป็นการแบ่งตัวที่เกิดขึ้นภายนอกโพลิปเดิมทำให้โพลิปใหม่มีผนังของตัวเองชัดเจน
...............3.Polyp bail-out
...............ปะการังจะมีการปล่อยโพลิปออกมาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะหรือมีความเครียด เกิดขึ้น ซึ่งการสืบพันธุ์ในรูปแบบนี้จะมีน้อยชนิด
34. ...............การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศโดยวิธีการแตกหน่อขยายออกไปจากตัวเดิม ทำให้ก้อนปะการังมีขนาดใหญ่ขึ้นและลงเกาะทับถมกันเป็นเวลานานนับร้อย ๆ ปีเป็นแนวหินปูนใต้น้ำเรียกว่า " แนวปะการัง" การเจริญเติบโตปะการังบางชนิดมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 10 ซม. ต่อปี ส่วนปะการังก้อนมีการเจริญเติบโตเฉลี่ย 1-2 ซม. ต่อปี ปะการังจะเติบโตได้ดีในน้ำทะเลที่ใสสะอาดความเค็มคงที่ มีแสงสว่างส่องถึงระดับอุณหภูมิที่ 18-32 องศาเซลเซียสหากระบบนิเวศน์เสื่อมโทรมแนวปะการังจะถูกทำลายกว่าจะฟื้นตัวได้ต้องใช้เวลานานหลายสิบปี

...............การเปลี่ยนสภาพของเซลล์และการชราภาพของเซลล์
35. ...............เซลล์เมื่อแบ่งตัวแล้วก็จะเปลี่ยนสภาพไปเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง การแบ่งเซลล์แบบ
ไมโทซิสทำให้ได้จำนวนเซลล์เพิ่มมากขึ้นและเป็นผลให้เกิดการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นซึ่งตามปกติแล้วจะเกิดกระบวนการต่าง ๆ 4 กระบวนการ คือ
36. ...............1. การเพิ่มจำนวนเซลล์ (cell multiplication)
ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียว เมื่อมีการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำรนวนเซลล์ก็จะทำให้เกิดการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศขึ้นส่วนในพวกสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เมื่อเกิดปฏิสนธิแล้ว เซลล์ที่ได้ก็ คือ ไซโกตซึ่งจะมีการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้นผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์ทำให้ได้เซลล์ใหม่มากขึ้น และมีขนาดเพิ่มขึ้นการจะมีเซลล์มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นว่ามีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เท่าใด

...............2. การเจริญเติบโต (growth)
...............ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียวการเพิ่มของโพรโทพลาซึมก็จัดว่า เป็นการเจริญเติบโตเมื่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งเซลล์ในตอนแรกเซลล์ใหม่ที่ได้จะมีขนาดเล็กกว่าเซลล์เดิมในเวลาต่อมาเซลล์ใหม่ที่ได้จะสร้างสารต่าง ๆเพิ่มมากขึ้นทำให้ขนาดของเซลล์ใหม่นั้นขยายขนาดขึ้น ซึ่งจัดเป็นการเจริญเติบโตด้วยในสิ่งมีชีวิตพวกที่เป็นหลายเซลล์ ผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์ก็คือการขยายขนาดให้ใหญ่โตขึ้น ซึ่งจัดเป็นการเจริญเติบโตด้วยเช่นกัน
37. ...............3. การเปลี่ยนแปลงของเซลล์
...............เพื่อไปทำหน้าที่ต่าง ๆ (cell differentiation) สิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ต่าง ๆ เหมือนกัน เช่นมีการสร้างเซลล์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ดี เช่น การสร้าง เอนโดสปอร์ (endospore) ของแบคทีเรียในพวกสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินก็มี เช่นการสร้างเซลล์พิเศษซึ่งเรียกว่า เฮเทอโรซิสต์ (heterocyst) มีผนังหนาและสามารถจับก๊าซไนโตรเจนในอากาศเปลี่ยนเป็นสารประกอบไนโตรเจนที่มีประโยชน์ต่อเซลล์ของสาหร่ายชนิดนั้นๆ ได้
...............ในสิ่งมีชีวิตที่มีการสืบพันธุ์แบบมีเพศเมื่อไข่และสเปิร์มผสมกันก็จะได้เซลล์ใหม่ คือ ไซโกต ซึ่งมีเพียงเซลล์เดียวต่อมาไซโกตจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้น เซลล์ใหม่ ๆ ที่ได้จะเปลี่ยนแปลงไปเพื่อไปทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ ทำหน้าที่ในการหดตัวทำให้เกิดการเคลื่อนที่หรือเคลื่อนไหว เซลล์เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ลำเลียงก๊าซออกซิเจนเซลล์ประสาททำหน้าที่ในการนำกระแสประสาทเกี่ยวกับความรู้สึก และคำสั่งต่าง ๆเซลล์ต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน เป็นต้นจะเห็นได้ว่าเซลล์ภายในร่างการของเราจะเริ่มต้นมาจากเซลล์เซลล์เดียวกันแต่มีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กันไป เพื่อให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กันได้
38. ...............4. การเกิดรูปร่างที่แน่นอน (morphogenesis)
...............เป็นผลจากการเพิ่มจำนวนเซลล์การเจริญเติบโตการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆขบวนการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระยะเอมบริโออยู่ตลอดเวลาที่มีการสร้างอวัยวะต่าง ๆขึ้น อัตราเร็วของการสร้างในแต่ละแห่งบนร่างกายจะไม่เท่ากันทำให้เกิดรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดขึ้นโดยที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีแบบแผนและลักษณะต่าง ๆ เป็นแบบที่เฉพาะตัวและไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ ลักษณะต่าง ๆเหล่านี้จะเป็นลักษณะทางพันธุกรรมซึ่งถูกควบคุมโดยจีนบนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ

...............ระบบสืบพันธุ์เพศชาย (Male Reproductive System)

...............ระบบสืบพันธุ์ทั้งในเพศชายและเพศหญิงเป็นระบบที่สำคัญต่อการดำรงรักษาเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตให้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลานโดยจะทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์และเลี้ยงดูจนกลายเป็นตัวเต็มวัยออกมาโดยมีสารพันธุกรรมจากพ่อและแม่เป็นตัวกำหนดลักษณะตลอดจนเพศของลูกตั้งแต่มีการปฏิสนธิดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ทั้งภายในและภายนอกของเพศชายและเพศหญิงจะมีการพัฒนามาตั้งแต่ระยะที่อยู่ในท้องของแม่แล้วโดยจะมีการพัฒนาควบคู่มากับระบบขับถ่าย ผลจาก Y chromosome ในตัวอ่อนเพศชายจะกระตุ้นให้มีการพัฒนาอวัยวะของระบบสืบพันธุ์ชายแต่ในตัวอ่อนเพศหญิงไม่มี Y chromosome จึงมีการพัฒนาให้เป็นอวัยวะของระบบสืบพันธุ์เพศหญิงแทน
...............ระบบสืบพันธุ์เพศชายเป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ คือ sperm และทำหน้าที่ในการนำส่ง sperm เข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงเพื่อผสมกับเซลล์ไข่ต่อไปนอกจากนี้ยังทำหน้าที่สร้าง hormone เพศชายอีกด้วย

...............อวัยวะสืบพันธุ์เพศชายประกอบด้วย
1. อัณฑะ (testes)มีการพัฒนามาจาก gonads ทำหน้าที่สร้าง sperm และ hormone เพศชายคือ testosterone
2. accessory ductsเป็นท่อนำ sperm จากอัณฑะออกไปสู่ภายนอกประกอบด้วย epididymis, vas deferens, ejaculatory duct และท่อปัสสาวะ
3. accessory glandsเป็นต่อมที่สร้างสารอาหารเลี้ยง sperm และช่วยอำนวยความสะดวกในการลำเลียง sperm ออกสู่ภายนอกด้วย ได้แก่ seminal vesicle ต่อมลูกหมาก และต่อมคาวเปอร์ (Cowper's gland)
4. penisทำหน้าที่นำส่งน้ำอสุจิเข้าสู่อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง

...............ถุงอัณฑะ (scrotal sac หรือ scrotum)

...............ถุงอัณฑะเป็นส่วนผิวหนังที่มีลักษณะเป็นถุงยื่นออกมาจากส่วนล่างของผนังหน้าท้องบริเวณส่วนกลางของถุงอัณฑะมีสันนูนคล้ายรอยเย็บเรียกว่า scrotal raphe ซึ่งจะให้ผนังแทรกเข้าไปภายในแยกออกเป็น 2 ถุงภายในถุงอัณฑะแต่ละข้างประกอบด้วย อัณฑะ epididymis และปลายด้านล่างของ spermatid cord ผิวหนังของถุงอัณฑะบางและเป็นรอยย่น (rugose) เนื่องจากในชั้นผิวหนังของถุงอัณฑะมีกล้ามเนื้อเรียบเรียกว่า dartos muscle ซึ่งถูกเลี้ยงโดยระบบประสาทอัตโนมัติ sympathetic กล้ามเนื้อ dartos จะทำหน้าที่ปรับอุณหภูมิของอัณฑะให้คงที่ ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างและการพัฒนาของ sperm ที่ต้องการอุณหภูมิที่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส

........................................................


...............อัณฑะ (testes)

...............อัณฑะเป็นอวัยวะที่เคลื่อนไหวได้อยู่ในถุงอัณฑะ มีลักษณะเป็นรูปไข่ขนาดประมาณ 4x2.5x2 เซ็นติเมตร หนัก 10-15 กรัม ปกติอัณฑะทางด้านซ้ายจะอยู่ต่ำกว่าทางด้านขวาประมาณ 1 เซ็นติเมตร ในตัวอ่อนอัณฑะจะวางตัวอยู่ในช่องท้องใกล้กับไต เมื่อตัวอ่อนอายุได้ 7 เดือนอัณฑะจะเคลื่อนผ่าน inguinal canal ซึ่งเป็นช่องทางเชื่อมระหว่างถุงอัณฑะกับช่องท้องแล้วเข้าไปอยู่ในถุงอัณฑะพร้อมทั้งนำเอาหลอดเลือด เส้นประสาทและท่อ vas deferens ที่ออกจากอัณฑะตามลงไปด้วยกลายเป็น spermatid cord การออกแรงยกของหนักหรือมีความดันในช่องท้องสูงอาจทำให้ inguinal canal ขยายเปิดกว้างออก อวัยวะต่างๆที่อยู่ในช่องท้องสามารถเคลื่อนผ่านรูนี้ออกมาดันอยู่ในถุงอัณฑะ เรียกว่า ไส้เลื่อน (inguinal hernia) และถ้าหากอัณฑะยังไม่สามารถเคลื่อนลงมาอยู่ในถุงอัณฑะเรียกสภาพนี้ว่า cryptochidism ซึ่งจะมีผลทำให้ไม่สามารถสร้าง sperm ได้
โครงสร้างของอัณฑะ

...............อัณฑะถูกหุ้มด้วย dense connective tissue ที่เรียกว่า tunica albuginea ซึ่งจะให้ผนังแทรกเข้าไปภายในแบ่งอัณฑะออกเป็น lobule เล็ก ๆ ประมาณ 200-300 lobule ภายในแต่ละ lobule ประกอบด้วย interstitial cell of Leydig และ seminiferous tubule ซึ่งจะขดไปรวมความยาวทั้งหมดของ seminiferous tubule แล้วประมาณ 225 เมตร seminiferous tubule แต่ละหลอดมาบรรจบกันเป็น straight tubule (tubulus rectus) แล้วประสานกันเป็นตาข่ายเรียกว่า rete testis ต่อจากนั้น rete testis ก็จะรวมกันกลายเป็น ductuli efferents ทะลุ tunica albuginea เชื่อมต่อกับส่วนหัวของ epididymis

...................................................................
................................................................................................รูปที่ 2 ลักษณะโครงสร้างภายในถุงอัณฑะ


...............interstitial cell of Leydig (Leydig's cell)

...............Leydig's cell เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่อยู่ใน dense connective tissue โดยแทรกอยู่ระหว่าง seminiferous tubule (รูปที่ 3) ทำหน้าที่สร้าง hormone เพศชาย คือ testosterone เพื่อกระตุ้นให้เด็กชายแตกหนุ่มมีรูปร่างลักษณะเปลี่ยนเป็นเพศชายชัดเจน (male secondary sex charectoristics) คือมีหนวดเคราตามใบหน้า ขนขึ้นบริเวณรักแร้หน้าท้องและบริเวณหัวเหน่า กล่องเสียงขยายใหญ่ทำให้เสียงแตกห้าวกล้ามเนื้อเป็นมัดใหญ่ และกระดูกยืดยาวขึ้น penis ขยายโตขึ้นและต่อมต่าง ๆ เช่นต่อมลูกหมาก seminal vesicle มีการเจริญเติบโตสร้างและหลั่งสารออกมาและกระตุ้นให้มีการสร้าง sperm
seminiferous tubule
...............seminiferous tubule เป็นท่อที่มีเยื่อบุผิวซึ่งวางตัวอยู่บน basal lamina ท่อนี้ถูกล้อมรอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและ เซลล์แบน ๆมีลักษณะคล้ายเซลล์กล้ามเนื้อเรียบเรียก myoid cell เมื่อเซลล์นี้หดตัวช่วยบีบไล่ sperm ออกไปตามท่อ ภายใน seminiferous tubule จะประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ spermatogenic cell เป็นเซลล์ที่ให้กำเนิดเซลล์สืบพันธุ์หลายระยะและ sertoli cell (supporting cell)
sertoli cell
...............sertoli cell เป็นเซลล์ทรงสูงคล้ายปิรามิด ฐานของเซลล์วางอยู่บน basal lamina ไปจนถึง lumen ทำหน้าที่ นำสารอาหารจากหลอดเลือดไปเลี้ยงเซลล์สืบพันธุ์ช่วยในการลำเลียงเคลื่อนย้ายเซลล์สืบพันธุ์จาก basal lamina ของ seminiferous tubule ออกสู่ lumen ช่วยกัดกินและทำลายเซลล์สืบพันธุ์ที่ตายแล้ว

......................................................................
..................................................................รูปที่ 3 ลักษณะโครงสร้างภายใน seminiferous tubule และ spermatogenic cell

...............spermatogenic cell
...............spermatogenic cell เป็นกลุ่มของเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย มีรูปร่างกลม เรียงตัวแทรกอยู่ระหว่าง sertoli cell ตั้งแต่ชั้น basal lamina ไปจนถึง lumen ของ seminiferous tubule (รูปที่ 3) ซึ่งกลุ่มเซลล์เหล่านี้ จะมีการแบ่งตัวและเปลี่ยนตั้งแต่ spermatogonia จนกลายไปเป็น sperm เรียกกระบวนการนี้ว่า spermatogenesis ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 64 วัน แบ่งออกเป็นระยะต่าง ๆ ได้ 4 ระยะคือ
...............1. spermatocytogenesisเป็นกระบวนการแบ่งเซลล์แบบ mitosis เริ่มต้นตั้งแต่ spermatogonia จนกลายเป็น primary spermatocyte เพื่อเพิ่มปริมาณของเซลล์สืบพันธุ์
...............2. meiosisเป็นกระบวนการแบ่งเซลล์จาก primary spermatocyte จนกลายเป็น spermatid ซึ่งทำให้จำนวน chromosome ลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเป็น 23 chromosome จะมีการแบ่งเซลล์ 2 ครั้ง
..............................- meiosis I เป็นการแบ่งเซลล์จาก primary spermatocyte กลายเป็น secondary spermatocyte
..............................- meiosis II เป็นการแบ่งเซลล์จาก secondary spermatocyte กลายเป็น spermatid
...............3. spermiogenesisเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ spermatid ซึ่งเป็นเซลล์รูปร่างกลมให้กลายเป็นเซลล์มีรูปร่างลักษณะพิเศษคือ sperm โดยอาศัย organelle ใน spermatid คือ นิวเคลียส, golgi apparatus, mitochondria และ centrioles
...............4. spermiationเป็นกระบวนการปลดปล่อย sperm ออกสู่ lumen

.................................................
................................................................................................รูปที่ 4 กระบวนการ spermeogenisis

...............ถ้าเอา sperm แต่ละตัวที่เจริญเต็มที่ไปศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน จะเห็นว่า sperm แต่ละตัวมีความยาว 55-65 ไมครอน ประกอบด้วย
..............................1. ส่วนหัวมีลักษณะเป็นรูปไข่ ภายในคือนิวเคลียสของ spermatid และทางด้านหน้า 2/3 ของนิวเคลียสจะถูกหุ้มด้วย acrosome ซึ่งภายในมี acrosomal enzyme หลายชนิดทำหน้าที่ย่อยทำลายผนังของไข่คือ
..............................- hyaluronidase (cumulus oophorus dispersing enzyme) ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลาย corona radiata
..............................- acrosin หน้าที่ย่อยสลาย zona pellucida ของเซลล์ไข่
..............................2. ส่วนหางส่วนประกอบภายในจะคล้ายกันกับ flegellum สร้างมาจาก centriole มี mitochondria ล้อมรอบ ทำหน้าที่ในการสร้างพลังงานให้แก่ sperm ให้สามารถเคลื่อนไหวได้



............................................................................
...................................................................................................รูปที่ 5 ลักษณะโครงสร้างของ sperm

...............epididymis
...............epididymis ประกอบด้วย กลุ่มท่อที่ขดไปมาเป็นก้อนโอบโค้งอยู่ทางด้านหลังของอัณฑะเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ขนาดประมาณ 4 เซ็นติเมตร เมื่อคลี่ออกจะยาวประมาณ 6 เมตรส่วนปลายสุดที่ยืดตรงขึ้นและโป่งออกกลายเป็น ductus deferens
โครงสร้างภายใน ductus epididymis ประกอบด้วย เยื่อบุผิวชนิด pseudostratified columnar epithelium มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อเรียบล้อมรอบเพื่อช่วยบีบไล่ sperm ที่อยู่ใน lumenให้เคลื่อนที่ออกจาก ducttus epididymis หน้าที่ของ ductus epididymis
...............1. เป็นแหล่งอาหารและที่พักของ sperm ให้มีการพัฒนาตัวเองจนสามารถเคลื่อนไหวเพื่อเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ได้
...............2. เป็นทางผ่านของ sperm ออกจากอัณฑะเข้าสู่ ductus deferens
...............3. หลั่งสารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของน้ำอสุจิ

...............ductus deferens (Vas deferens)
...............ductus deferens เป็นท่อที่ต่อจาก ductus epididymisยาวประมาณ 45 เซ็นติเมตรออกจากถุงอัณฑะกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของ spermatid cord ภายใน spermatid cord นอกจากประกอบด้วย ductus deferens แล้ว ยังมี หลอดเลือด เส้นประสาทท่อน้ำเหลืองและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรวมอยู่ด้วย spermatic cord ผ่านเข้าสู่อุ้งเชิงกรานทาง inguinal canal แล้วทอดไปทางด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะก็จะเหลือแต่ ductus deferens ปลายสุดของ ductus deferens ก็จะโป่งออกเป็นกระเปาะ เรียกว่า ampulla แล้วเชื่อมต่อกับท่อที่ออกจาก seminal vesicle รวมกันกลายเป็น ejaculatory duct เปิดเข้าสู่ท่อปัสสาวะในต่อมลูกหมาก
...............ductus deferens เป็นท่อที่ทำหน้าที่นำ sperm จากอัณฑะเข้าสู่ ejaculatory duct ในการทำหมันชาย โดยการตัดเส้นทางไม่ให้ sperm ออกสู่ภายนอกไปผสมกับเซลล์ไข่สามารถทำได้ง่ายด้วยวิธีกรีดผิวหนังทางด้านหลังของถุงอัณฑะแล้วจึงผูกและตัด ductus deferens เนื่องจาก ductus deferens เป็นท่อที่มีชั้นกล้ามเนื้อหนามากสามารถคลำส่วนต้นของท่อนี้ได้ซึ่งมีลักษณะเป็นลำอยู่ทางด้านหลังของถุงอัณฑะ เรียกวิธีการทำหมันในผู้ชายนี้ว่า vasectomy

...............ejaculatory duct
...............เป็นท่อสั้นๆยาวประมาณ 2 เซ็นติเมตร รับสารที่สร้างมาจาก seminal vesicle และ ductus deferens แล้วแทงทะลุเข้าทางด้านหลังของต่อมลูกหมากเข้าไปเชื่อมต่อกับท่อปัสสาวะที่อยู่ในต่อมลูกหมาก

...............seminal vesicle
...............seminal vesicle มีลักษณะเป็นถุงยาวขดไปมาทางด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะ มีอยู่ 2 ข้างจะให้ท่อเชื่อมต่อกับ ampulla ของ ductus deferens กลายเป็น ejaculatory duct seminal vesicle จะสร้างสารซึ่งประกอบด้วยสารเมือก fructose สำหรับให้พลังงานแก่ sperm เพื่อใช้ในการเคลื่อนไหว prostaglandins เพื่อทำให้มดลูกหดตัวช่วยบีบไล่ sperm ให้เคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมี วิตามินซี และ coagulating enzyme สารที่หลั่งออกจาก seminal vesicle มีปริมาณ 60 % ของน้ำอสุจิที่หลั่งออกมาแต่ละครั้งมีฤทธิ์เป็นด่างเพื่อลดความเป็นกรดในช่องคลอดของผู้หญิง

...............ต่อมลูกหมาก (prostate gland)
...............ต่อมลูกหมากเป็นก้อนรูปร่างคล้ายกรวย มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 เซ็นติเมตร น้ำหนัก 20 กรัมหุ้มรอบท่อปัสสาวะ มี ejaculatory duct ทะลุผ่านมาเปิดออกที่ prostatic urethra ผนังชั้นนอกของต่อมลูกหมากถูกห่อหุ้มด้วยถุง(capsule) เนื้อต่อมลูกหมากประกอบด้วย stroma part ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อเรียบ และ glandular part ประกอบด้วยโครงสร้างที่อยู่ภายในมีต่อมขนาดเล็กชนิด compound tubuloalveolar gland มากมายเรียงตัวล้อมรอบท่อปัสสาวะ จะให้ท่อเล็ก ๆ มาเปิดออกที่ท่อปัสสาวะสารที่สร้างมาจากต่อมลูกหมาก มีลักษณะเป็นน้ำสีขาวคล้ายน้ำนมมีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย ประกอบด้วย acid phosphatase, citric acid , cholesterol, phospholipid, zinc, proteolytic enzyme และ fibrinolysin ซึ่งช่วยหลอมละลายการแข็งตัวของก้อนอสุจิที่หลั่งออกมาสารที่หลั่งออกจากต่อมลูกหมากจะกระตุ้นให้ sperm เคลื่อนไหวได้ดีมีการสร้างสารอาหารสำหรับ sperm ซึ่งการหลั่งน้ำอสุจิแต่ละครั้งมีสารที่สร้างจากต่อมลูกหมากประมาณ 30 %

...............Cowper's gland (bulbourethral gland)
...............Cowper's gland เป็นต่อมขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่ว 2 ต่อม ตั้งอยู่ 2 ข้างของท่อปัสสาวะแต่อยู่ต่ำกว่าต่อมลูกหมากเป็นต่อมที่ให้ท่อออกมาเปิดออกสู่ท่อปัสสาวะที่อยู่ใน penis สารที่สร้างและหลั่งออกมา เป็นสารเมือกมีฤทธิ์เป็นด่างทำหน้าที่หล่อลื่นและลดความเป็นกรดภายในท่อปัสสาวะของผู้ชายและในช่องคลอดของผู้หญิง

............................................................
........................................................................รูปที่ 6 ลักษณะโครงสร้างของ accessory gland และ penis


..............penis
...............penis เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของน้ำปัสสาวะและน้ำอสุจิ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนที่แนบชิดติดกับลำตัวเรียกว่า root และส่วนที่ยื่นออกมาเรียกว่า body penis ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่แข็งตัวได้ (erectile tissue) ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก 3 แท่งภายในมีลักษณะคล้ายฟองน้ำประกอบด้วยโพรงของแอ่งเลือดเล็ก ๆ (sinusoid) มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อเรียบเรียงตัวเป็นแผ่นมี endothelial cell ของหลอดเลือดคลุม แท่งเนื้อเยื่อทางด้านบน 2 แท่งเรียกว่า corpus cavernosum มาอยู่ชิดกัน มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เรียกว่า tunica albuginea ที่หนาหุ้มรอบที่บริเวณ root ของ penis แท่งเนื้อเยื่อทั้งสองจะแยกออกจากกันแล้วจะไปเกาะติดกับกระดูก pubis ส่วนแท่งเนื้อเยื่อที่อยู่ทางด้านล่างตรงแอ่งระหว่าง corpus cavernosum ทั้งสองเรียกว่า corpus spongiosum ภายในมีท่อปัสสาวะอยู่ตรงกลางตลอดความยาวที่บริเวณ root ของ penis แท่งเนื้อเยื่อนี้จะโป่งออกเป็นกระเปาะเรียกว่า bulb ของ penis ส่วนปลายสุดของ corpus spongiosum จะขยายโป่งออกและคลุมส่วนปลายสุดของ corpus cavernosum กลายเป็น glans of penis เป็นบริเวณที่พบปลายประสาทรับความรู้สึกเป็นจำนวนมากทำให้ไวต่อการกระตุ้นตรงกลางมีรูเปิดของท่อปัสสาวะแท่งเนื้อเยื่อทั้งสามจะถูกยึดติดกันด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันแล้วมีผิวหนังค่อนข้างบางหุ้มรอบชั้นนอกอีกชั้นหนึ่งส่วนปลาย glans of penis จะมีผิวหนังทบกัน 2 ชั้นยื่นออกมาคลุม glans of penis เอาไว้เรียกว่า prepuce หรือ foreskin ในชั้นผิวหนังบริเวณนี้จะมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันมากเมื่อมีการหลั่งสารออกจากต่อมพร้อมกับเซลล์ที่หลุดลอกออกจากผิวหนังมารวมตัวกันจะเป็นก้อนสีขาวขุ่นเรียกว่า smegma ถ้าหากทำความสะอาดบริเวณนี้ไม่ดีจะก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ดังนั้นการผ่าตัดเอา prepuce ออกซึ่งเรียกว่าการทำ circumcision จะทำให้สามารถทำความสะอาดบริเวณนี้ได้ง่าย
39. ...............ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง (Female Reproductive System)

...............ระบบสืบพันธุ์เพศหญิงเป็นระบบที่ทำหน้าที่คล้ายกับระบบสืบพันธุ์เพศชายซึ่งนอกจาก สร้างเซลล์สืบพันธุ์คือเซลล์ไข่ และสร้าง hormone เพศหญิงแล้วยังทำหน้าที่ดูแลฟูมพักให้ เซลล์ไข่ที่ผสมติดให้พัฒนากลายเป็นตัวอ่อนจนคลอดออกมาระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบ ด้วย
...............อวัยวะเพศภายนอก (external genitalia) เป็นอวัยวะที่มองเห็นได้จาก ภายนอก อาจจะเรียกว่า vulva หรือpudendum ซึ่งได้แก่ เนินหัวเหน่า แคมใหญ่ แคมเล็ก clitoris, vestibule, Bartholin's gland , paraurethral gland และบริเวณฝีเย็บ
...............1. ช่องคลอด (vagina)เป็นช่องทางผ่านของ sperm ที่จะเข้าไปผสมกับเซลล์ไข่ และเป็นทางออกของเลือดประจำเดือนและทารก
...............2. รังไข่ (ovary)มีการพัฒนามาจาก gonad ซึ่งทำหน้าที่สร้างเซลล์ไข่ และ hormone เพศหญิงคือ estrogen และ progesterone
...............3. ท่อนำไข่ (uterine tube)เป็นท่อทำหน้าที่นำเซลล์ไข่จากรังไข่ ให้เคลื่อนไปสู่มดลูก
...............4. มดลูก (uterus)ทำหน้าที่เป็นที่อยู่อาศัยและนำสารอาหารมาเลี้ยงเซลล์ไข่ที่ผสมติดแล้วจนพัฒนาเป็นตัวอ่อน
...............นอกจากนี้ยังมีรกและเต้านมซึ่งไม่ได้จัดเป็นส่วนประกอบของอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงแต่เป็นอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของระบบสืบพันธุ์เพศหญิง

...............อวัยวะเพศภายนอก (external genitalia)
...............1. เนินหัวเหน่า (mone pubis)เป็นผิวหนังนูนอยู่บริเวณเหนือกระดูกหัวเหน่า (pubic symphysis) เมื่อเข้าสู่วัยสาวจะมีขนงอกขึ้นที่บริเวณนี้สำหรับในเพศหญิงแนวขนจะเรียงตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมมียอดชี้ลงมาทางด้านล่างส่วนในเพศชายยอดของสามเหลี่ยมจะชี้ขึ้นไปทางสะดือ
...............2. แคมใหญ่ (labia majora)เป็นผิวหนังที่ต่อมาจากทางด้านล่างของเนินหัวเหน่า มีลักษณะนูนแยกเป็น 2 กลีบลงไปบรรจบกันทางด้านหลังที่บริเวณผีเย็บ
...............3. แคมเล็ก (labia minora)เป็นชั้นผิวหนังที่ยกตัวขึ้นเป็นกลีบเล็กๆ สีแดง 2 กลีบทางด้านในของแคมใหญ่กลีบของแคมเล็กทางด้านหน้าจะแยกออกเป็น 2 แฉก แฉกด้านบนมาจรดกันกลายเป็นผิวหนังคลุม clitoris เรียกว่า prepuce of clitoris แฉกด้านล่างจรดกันใต้ clitoris เรียกว่า frenulum of clitoris ...............ส่วนปลายหลังของแคมเล็กจะโอบรอบรูเปิดของช่องคลอดและท่อปัสสาวะแล้วมาจรดกันด้านหลังเรียกว่า fourchette แคมเล็กไม่มีขนงอก
...............4. clitorisมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ เป็นอวัยวะที่เทียบได้กับ glans penis ในเพศชาย และมีโครงสร้างเป็น erectile tissue เช่นกันมีหลอดเลือดและปลายประสาทรับความรู้สึกมาเลี้ยงเป็นจำนวนมากดังนั้นหากเกิดการฉีกขาดที่บริเวณนี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในขณะคลอด จะทำให้เจ็บเสียเลือดมาก และเย็บติดได้ยาก
...............5. vestibuleเป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างแคมเล็กทั้งสองข้างตั้งแต่ clitoris ลงไปจนถึง fourchette บริเวณนี้มีรูเปิดของท่อต่างๆ ดังนี้
..............................- รูเปิดของท่อปัสส

CM4869

จำนวนข้อความ : 38
Join date : 26/01/2011

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ